เมนู

บ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสน
ชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมาก
บ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ว่าในชาติโน้นเราได้มีชื่อ
อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
ได้เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจาก
ชาตินั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนี้
มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ ได้เสวยสุขเสวย
ทุกข์อย่างนี้ ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้ ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มา
เกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ
พร้อมทั้งอุทเทส ด้วยประการฉะนี้.
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะ
อรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดธรรม
อันเป็นไปตามปัจจัย ด้วยสามารถการแผ่ไปแห่งกรรมหลายอย่างหรือ
อย่างเดียว เป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ.

53. อรรถกถาบุพเพนิวาสานุสติญาณนิทเทส


[256] พึงทราบวินิจฉัยในบุพเพนิวาสานุสติญาณนิทเทส ดัง
ต่อไปนี้. บทมีอาทิว่า เอวํ ปชานาติ - ภิกษุรู้ชัดอย่างนี้ พระสารี-

บุตรเถระกล่าวเพื่อแสดงวิธีให้เกิดอิทธิบาทนั้น แก่ผู้ใคร่เพื่อยังบุพเพ-
นิวาสานุสติญาณให้เกิดแก่จิตที่อบรมแล้วในอิทธิบาท 4.
จริงอยู่ ภิกษุครั้นเห็นปฏิจจสมุปบาทโดยลำดับแล้ว ย่อมเห็น
ความสังเขปแห่งผลอันเกิดขึ้นแล้ว กล่าวคือ วิญญาณ นามรูป สฬา-
ยตนะ ผัสสะ และเวทนา.
ย่อมเห็นความสังเขปแห่งเหตุ กล่าวคือ กรรม กิเลสในภพก่อน
อันเป็นปัจจัยแห่งความสังเขปของผลนั้น.
ย่อมเห็นความสังเขปแห่งผลในภพก่อนอันเป็นปัจจัยแห่งความ
สังเขปแห่งเหตุนั้น.
ย่อมเห็นความสังเขปแห่งเหตุในภพที่ 3 อันเป็นปัจจัยแห่งความ
สังเขปแห่งผลนั้น.
ย่อมเห็นเบื้องหน้าของชาติ ด้วยการเห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้.
การมนสิการปฏิจจสมุปบาท มีอุปการะมากแก่บุพเพนิวาสานุสติญาณ
ด้วยประการฉะนี้.
ในบทเหล่านั้นบทนี้ว่า อิมสฺมึ สติ อทํ โหติ, อิมสฺสุปฺ-
ปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ -
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น
สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เป็นคำยกขึ้นขยายความของปฏิจจสมุปบาท. หากถามว่า
เมื่อสำเร็จความด้วยคำอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งบทเหล่านั้น. เพราะเหตุไร
จึงกล่าวเป็น 2 อย่าง. ตอบว่า เพราะมีความต่างกันโดยอรรถ.

บทว่า อิมสฺมึ สติ - เมื่อสิ่งนี้มี คือ เมื่อปัจจัยนี้มีอยู่. บทนี้
กล่าวทั่วไปของปัจจัยทั้งหมด.
บทนี้ว่า อิทํ โหติ - สิ่งนี้ย่อมมี คือ สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้นเพราะ
ปัจจัย. บทนี้กล่าวทั่วไปของสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยทั้งหมด. ด้วยคำ
ทั้งสิ้นนี้ อเหตุกวาทะเป็นอันท่านปฏิเสธแล้ว เพราะธรรมเหล่าใดเกิด
เพราะปัจจัย ไม่เกิดเพราะไม่มีปัจจัย ธรรมเหล่านั้นไม่ชื่อว่าอเหตุกะ-
บทว่า อิมสฺสุปฺปาท - เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น คือ เพราะเหตุ
ปัจจัยเกิดขึ้น. บทนี้เป็นคำกล่าวแสดงความต่างแห่งความเกิดขึ้นของ
ปัจจัยทั้งหมด.
บทนี้ว่า อทํ อุปฺปชฺชติ - สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้น คือ สิ่งนี้มีปัจจัย
เกิดขึ้นจึงเกิด. บทนี้กล่าวแสดงถึงความที่ปัจจัยทั้งหมดเกิดขึ้น จึงเกิด
ขึ้นต่อแต่นั้นไป. ด้วยคำทั้งสิ้นนี้ สัสสตวาทะและอเหตุกวาทะเป็นอัน
ท่านปฏิเสธแล้ว เพราะธรรมเหล่าใดมีเกิดขึ้น ธรรมเหล่านั้นไม่เที่ยง
เพราะฉะนั้น ท่านจึงอธิบายไว้ว่า เมื่อความที่ธรรมทั้งหลายมีเหตุมีอยู่
ธรรมเหล่านั้นมีความไม่เที่ยงเป็นเหตุ มิใช่มีบุรุษเป็นปกติเป็นต้นซึ่ง
สมมติว่าเที่ยงในโลกเป็นเหตุ.
บทว่า ยทิทํ เป็นคำชี้แจงอรรถที่ควรชี้แจง.
ในบทนี้ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา - เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

จึงมีสังขาร มีอธิบายดังต่อไปนี้ ผลเกิดขึ้นเพราะอาศัยสิ่งใด สิ่งนั้น
ก็เป็นปัจจัย.
บทว่า ปฏิจฺจ - อาศัย คือ ไม่พราก. อธิบายว่า ไม่บอกคืน.
บทว่า เอติ คือ ย่อมเกิดขึ้นและย่อมเป็นไป. อีกอย่างหนึ่ง
มีอรรถว่า เป็นอุปการะ เป็นปัจจัย. อวิชชานั้นด้วยเป็นปัจจัยด้วย เพราะ
เหตุนั้น ชื่อว่าอวิชชาเป็นปัจจัย. เพราะฉะนั้น ควรประกอบว่า
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺติ - เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี
สังขาร. พึงทำการประกอบ สมฺภวนฺติ ศัพท์ แม้ด้วยบทที่เหลือ.

อนึ่ง ในบทว่าโสกะเป็นต้น มีความดังต่อไปนี้. ความแห้งใจ
ชื่อว่า โสกะ. ความคร่ำครวญ ชื่อว่า ปริเทวะ. สิ่งที่สิ้นไปได้ยาก
ชื่อว่า ทุกขะ หรือสิ่งน่ากลัว 2 อย่าง คือ ด้วยสามารถแห่งความ
เกิด และความตั้งอยู่ ชื่อว่า ทุกข์. ความเสียใจ ชื่อว่า โทมนัส.
ความแค้นใจยิ่ง ชื่อว่า อุปายาส.
ในบทนี้ว่า สมฺภวนฺติ - ย่อมมี คือ ย่อมเกิด.
บทว่า เอวํ เป็นบทแสดงนัยที่แสดงแล้ว. ด้วยบทนั้น พระ-
สารีบุตรเถระแสดงว่า ด้วยเหตุมีอวิชชาเป็นต้น. มิใช่ด้วยลัทธิทั้งหลาย
มีพระเจ้าสร้างขึ้นเป็นต้น.
บทว่า เอตสฺส คือ ตามที่กล่าวแล้ว.

บทว่า เกวลสฺส - ทั้งสิ้น คือ ไม่มีปน หรือสิ้นเชิง.
บทว่า ทุกฺขกฺขนฺธสฺส คือ กองทุกข์. มิใช่แห่งสัตว์ มิใช่
แห่งสุข และความงามเป็นต้น.
บทว่า สมุทโย คือ เกิด. บทว่า โหติ คือมี

ในบทเหล่านั้น อวิชชาเป็นอย่างไร ? คือ ความไม่รู้ทุกข์ ไม่
รู้ทุกขสมุทัย ไม่รู้ทุกขนิโวธ ไม่รู้ทุกุขนิโรธคามินีปฏิปทา ไม่รู้ที่
สุดเบื้องต้น ไม่รู้ที่สุดเบื้องปลาย ไม่รู้ทั้งที่สุดเบื้องต้นทั้งที่สุดเบื้อง
ปลาย ไม่รู้ในธรรมอันอาศัยกันเกิดขึ้น คือ อิทัปปัจจยตา - สิ่งนี้
เป็นปัจจัยของสิ่งนี้.
สังขารเป็นอย่างไร ? คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร
อาเนญชาภิสังขาร, กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร, กามาวจร-
กุศลเจตนา 8 รูปาวจรกุศลเจตนา 5 ชื่อว่าปุญญาภิสังขาร, อกุศล-
เจตนา 12 ชื่อว่าอปุญญาภิสังขาร, อรูปาวจรกุศลเจตนา 5 ชื่อว่า
อาเนญชาภิสังขาร. กายสัญเจตนา ชื่อว่ากายสังขาร. วจีสัญเจตนา
ชื่อว่าวจีสังขาร. มโนสัญเจตนา ชื่อว่าจิตตสังขาร.
ในข้อนั้นพึงมีคำถามว่า จะพึงรู้ข้อนั้นได้อย่างไรว่าสังขารเหล่านั้น
ย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย. รู้ได้เพราะความมีอวิชชา. จริงอยู่
ความไม่รู้ กล่าวคือ อวิชชาในทุกข์เป็นต้น อันภิกษุใดละไม่ได้แล้ว.

ภิกษุนั้นยึดถือสังขารทุกข์ด้วยสำคัญว่าเป็นสุขด้วยไม่รู้ในทุกข์ และในที่
สุดเบื้องต้นเป็นต้นมาก่อน แล้วปรารภสังขาร 3 อย่างอันเป็นเขตุแห่ง
ทุกข์นั้น. ภิกษุสำคัญโดยเป็นเหตุแห่งสุขปรารภสังขารทั้งหลาย อัน
เป็นบริขารของตัณหา แม้เป็นเหตุแห่งทุกข์ด้วยไม่รู้ในสมุทัย.

อนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีความสำคัญในการดับทุกข์ อันเป็นคติวิเศษ
แม้มิใช่เป็นความดับทุกข์ด้วยไม่รู้ในนิโรธและมรรค และเป็นผู้มีความ
สำคัญในนิโรธและมรรคในยัญและตบะเพื่อความไม่ตายเป็นต้น แม้
มิใช่เป็นมรรคแห่งนิโรธ ปรารถนาความดับทุกข์ ย่อมปรารภสังขาร
ทั้งหลาย แม้ 3 อย่าง โดยมียัญและตบะเพื่อความไม่ตายเป็นต้นเป็น
ประธาน.

อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้นไม่รู้ทุกข์ กล่าวคือ ผลบุญแม้เกลือกกลั้ว
ด้วยโทษไม่น้อยมีชาติ ชรา โรค มรณะเป็นต้น โดยวิเศษเพราะไม่รู้การ
ไม่ละในสัจจะ 4 ด้วยอวิชชานั้น โดยความเป็นทุกข์ย่อมปรารภปุญญา-
ภิสังขารอันมีประเภทเป็นกายสังขาร วจีสังขารและจิตสังขาร เพื่อ
บรรลุทุกข์นั้น ดุจผู้ใคร่นางเทพอัปสรปรารภการเกิดเป็นเทวดา ฉะนั้น.
แม้ไม่เห็นความเป็นทุกข์ คือ ความแปรปรวนและความเป็นสิ่งมีความ
ชื่นชมน้อย อันเกิดจากความเร่าร้อนใหญ่หลวงในที่สุดแห่งผลบุญนั้น
แม้สมมติว่าเป็นความสุข ย่อมปรารภปุญญาภิสังขารมีประการดังกล่าว

แล้วอันมีทุกข์นั้นเป็นปัจจัย ดุจตั๊กแตนปรารภถึงการตกไปในเปลวไฟ
ฉะนั้น. และดุจบุคคลอยากหยาดน้ำผึ้ง ปรารภการเลียคมศัสตราอัน
ฉาบไว้ด้วยน้ำผึ้ง ฉะนั้น. ไม่เห็นโทษในทุกข์พร้อมวิบาก มีการเสพ
กามเป็นต้น ปรารภอปุญญาภิสังขารแม้เป็นไปในทวาร 3 ด้วยความ
สำคัญว่าเป็นสุข และเพราะถูกกิเลสครอบงำ ดุจเด็กอ่อนปรารภการ
เล่นคูถ ฉะนั้น. และดุจคนอยากตายปรารภการกินยาพิษ ฉะนั้น.
ไม่รู้ความที่สังขารเป็นทุกข์ เพราะความแปรปรวนในวิบากอันไม่มีรูป
ปรารภอาเนญชาภิสังขาร อันเป็นจิตตสังขารด้วยความเห็นผิดว่าเที่ยง
เป็นต้น ดุจคนหลงทิศปรารภการเดินทางมุ่งหน้าไปเมืองปีศาจฉะนั้น
เพราะความเป็นสังขารโดยมีอวิชชา มิใช่เพราะความไม่มี. ฉะนั้น
ควรรู้บทนี้ว่า อิเม สงฺขาร อวิชฺชาปจฺจยา โหนติ - สังขารเหล่านี้
มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้.
ในบทนี้พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า เราจะถือเอาบทนี้ก่อนว่า
อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย - อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารทั้งหลาย.
ก็อวิชชานี้อย่างเดียวเท่านั้นหรือเป็นปัจจัยแห่งสังขาร หรือว่า แม้
อย่างอื่นเป็นปัจจัยก็มี. อนึ่ง ผิว่า ในบทนี้ อวิชชาอย่างเดียวเท่านั้น
เป็นปัจจัย วาทะอันเป็นเหตุอย่างเดียว ย่อมมีหรือ. เมื่อเป็นเช่นนั้น
แม้อย่างอื่นก็ย่อมมี. การชี้แจงเหตุเดียวว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขารดังนี้จะไม่เกิดขึ้นได้. ไม่เกิด เพราะเหตุไร ? เพราะ

เอกํ น เอกโต อิธ นาเนกมเนกโตปิ โน เอกํ
ผลมตฺถิ อตฺถิ ปน เอกเหตุผลทีปเน อตฺโถ.
ในโลกนี้ ผลอย่างเดียว ย่อมมีเพราะเหตุ
อย่างเดียวก็หาไม่ ผลหลายอย่าง ย่อมมีเพราะเหตุ
อย่างเดียวก็หาไม่ ผลอย่างเดียว ย่อมมีเหตุหลาย
อย่างก็หาไม่ แต่ประโยชน์ในการแสดงเหตุและผล
แต่ละอย่างมีอยู่.

จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเหตุและผลอย่างเดียวเท่า
นั้น โดยความสมควรแก่ความเหมาะสมแห่งเทศนา และแก่เวไนยสัตว์
เพราะเป็นประธานในที่ทุกแห่ง เพราะปรากฏในที่ทุกแห่ง. เพราะ
ทั่วไปในที่ทุกแห่ง. ฉะนั้น พึงทราบว่า อวิชชาในที่นี้ แม้เมื่อเป็น
เหตุแห่งสังขารอันมีวัตถุเป็นอารมณ์ และธรรมเกิดร่วมกันเป็นต้นเหล่า
อื่น ท่านก็แสดงโดยความเป็นเหตุแห่งสังขารทั้งหลาย เพราะความเป็น
ประธานในบทว่า อวิชชาเป็นเหตุแห่งเหตุของสังขารมีตัณหาเป็นต้น
แม้เหล่าอื่นเพราะบาลีว่า อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒติ1
ตัณหาย่อมเจริญแก่ผู้เห็นความชื่นชม
และว่า อวิชฺชา สมุทยา
อาสวสมุทโย2-
เพราะอวิชชาเป็นสมุทัย อาสวะจึงเกิด. เพราะ
1. สํ. นิ. 16/197. 2. ม. มู. 12/130.

ปรากฏในพระบาลีว่า อวิทฺวา ภิกฺขเว อวิชฺชาคโต ปุญฺญาภิสงฺ-
ขารมฺปิ อภิสงฺขโรติ - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ไม่รู้ไปสู่อวิชชา
ย่อมปรุงแต่ง แม้ปุญญาภิสังขาร และเพราะความไม่ทั่วไป.
อนึ่ง
พึงทราบประโยชน์ ในการแสดงเหตุผลอย่างหนึ่ง ๆ ในที่ทั้งปวง ด้วย
การปกป้องการแสดงเหตุผลอย่างหนึ่ง ๆ นั้นนั่นแหละ.

ในบทนี้พระสารีบุตรเถระกล่าวว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ความ
ที่อวิชชามีโทษเป็นผลไม่น่าปรารถณาโดยส่วนเดียวเป็นปัจจัยแห่งปุญญา.
ภิสังขารและอาเนญชาภิสังขารจะถูกต้องได้อย่างไร. เพราะอ้อยย่อมไม่
เกิดขึ้นจากพืชสะเดาได้. จักไม่ถูกต้องได้อย่างไร. เพราะในโลก
วิรุทฺโธ จาวิรุทฺโธ จ สทิสาสทิโส ตถา
ธมฺมานํ ปจฺจโย สิทฺโธ วิปากา เอว เต จ น.
ธรรมทั้งหลายที่สำเร็จเป็นปัจจัยแล้ว ผิดฐานะ
กันก็มี เหมือนกันก็มี อนึ่ง เป็นเช่นเดียวกันและ
ไม่เป็นเช่นเดียวกันก็มี ธรรมเหล่านั้นหาใช่วิบาก
อย่างเดียวไม่.

ด้วยประการฉะนี้พึงทราบว่า อวิชชานี้จึงเป็นผลไม่น่าปรารถนา
โดยส่วนเดียวด้วยสามารถวิบาก. อวิชชาแม้มีโทษด้วยสามารถสภาวะ
ก็ยังเป็นปัจจัยด้วยสามารถเป็นปัจจัยแห่งความผิดและไม่ผิดโดยฐานะกิจ

และสภาวะตามสมควรแก่ปุญญาภิสังขารเป็นต้นเหล่านั้นทั้งหมด และ
ด้วยสามารถเป็นปัจจัยเหมือนกันและไม่เหมือนกัน.
อีกอย่างหนึ่ง
บุคคลใดหลงไปในสงสารอันมีจุติ และอุปบัติ
ในลักษณะแห่งสังขารทั้งหลาย และในธรรมอัน
อาศัยกันเกิดขึ้น.
บุคคลนั้นย่อมตกแต่งสังขาร 3 อย่างเหล่านั้น
เพราะอวิชชานี้เป็นปัจจัยแห่งสังขาร 3 เหล่านั้น.
เหมือนคนตาบอดแต่กำเนิดไม่มีผู้นำไป บาง
ครั้งก็ไปถูกทาง บางครั้งก็ไปนอกทางฉันใด.
คนพาล เมื่อท่องเที่ยวไปในสงสารไม่มีผู้แนะ-
นำ ก็ฉันนั้น. บางครั้งก็ทำบุญ บางครั้งก็ทำบาป.
เมื่อใดคนนั้นรู้ธรรมแล้วตรัสรู้อริยสัจ เมื่อนั้น
จัดเที่ยวไปอย่างผู้สงบ เพราะอวิชชาสงบ.

บทว่า สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ - เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึง
มีวิญญาณ ความว่า กองวิญญาณมี 6 คือ จักขุวิญญาณ 1 โสต-
วิญญาณ 1 ฆานวิญญาณ 6 ชิวหาวิญญาณ 1 กายวิญญาณ 1 มโน-
วิญญาณ 1 ในวิญญาณเหล่านั้น จักขุวิญญาณมี 2 อย่าง คือ กุศล-

วิบาก 1 อกุศลวิบาก 1. โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณก็เหมือนกัน. มโนวิญญาณมี 22 คือ วิบากมโนธาตุ 2.
อเหตุกมโนวิญญาณธาตุ 3. สเหตุกวิบากจิต 8. รูปาวจรวิบากจิต 5.
อรูปาวจรวิบากจิต 4. วิญญาณทั้งหมดเป็นโลกิยวิบากวิญญาณ 32 ด้วย
ประการฉะนี้.
ในข้อนั้นพึงมีคำถามว่า จะพึงรู้ได้อย่างไรว่าวิญญาณมีประการ
ดังกล่าวนี้ มีเพราะสังขารเป็นปัจจัย. เพราะไม่มีวิบากในความที่ไม่ได้
สะสมกรรมไว้. จริงอยู่ วิบากนี้ย่อมไม่เกิดในเพราะความไม่มีกรรมที่
สะสมไว้. ผิว่า พึงเกิด. วิบากทั้งหมดของกรรมทั้งปวงพึงเกิด. แต่วิบาก
ทั้งปวงไม่เกิด เพราะฉะนั้น พึงรู้ข้อนี้ว่า เพราะสังขารเป็นปัจจัย
วิญญาณจึงมี.

จริงอยู่ วิญญาณนี้ทั้งหมดย่อมเป็นไป 2 ส่วน ด้วยสามารถ
ปฏิสนธิที่เป็นไป. ในวิญญาณนั้น วิญญาณ 13 เหล่านี้ คือ วิญญาณ
5 อย่างละ 2 มโนธาตุ 2 เหตุกมโนวิญญาณธาตุ สหรคตด้วยโสม-
นัส 1. ย่อมเป็นไปในความเป็นไปในปัญจโวการภพ. วิญญาณ 19 ที่
เหลือย่อมเป็นไปในปวัตติกาลบ้าง ในปฏิสนธิบ้างตามสมควรในภพ 3.
ลทฺธปฺปจฺจยมิติ ธมฺม - มตฺตเมตํ ภวนฺตรมุเปติ
นาสฺส ตโต สงฺกนฺติ น ตโต เหตุ วินา โหติ.

วิญาณนี้เป็นเพียงธรรมได้ปัจจัยแล้ว ย่อม
เข้าถึงภพอื่นด้วยประการฉะนี้ ความเคลื่อนไปจาก
ภพ ย่อมไม่มีแก่วิญญาณนั้น วิญญาณเว้นเหตุจาก
ภพนั้นก็มีไม่ได้.

ท่านอธิบายว่า วิญญาณนี้เกิดขึ้นเพียงอาศัยรูปธรรมและอรูป-
ธรรมเป็นปัจจัยอันได้แล้ว ย่อมเข้าถึงภพอื่น มิใช่สัตว์ มิใช่ชีวะด้วย
ประการฉะนี้ อนึ่ง ความเคลื่อนจากภพในอดีตมาในภพนี้ของวิญญาณ
นั้นก็ไม่มี ความปรากฏของวิญญาณในโลกนี้ เว้นเหตุจากภพอดีตก็มี
ไม่ได้. อนึ่ง ในบทนี้ท่านกล่าวว่า การจุติโดยการเคลื่อนไปมีก่อน.
การปฏิสนธิโดยการสืบต่อระหว่างภพเป็นต้น มีภายหลัง.

ในบทนี้พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า เมื่อมีความไม่เคลื่อนไป
ปรากฏอย่างนี้ จะพึงมีผลของสิ่งอื่นโดยความเป็นอื่น เพราะขันธ์ใน
อัตภาพมนุษย์นี้ดับไป เพราะกรรมอันเป็นปัจจัยของผลไม่ไปในวิญ-
ญาณนั้น มิใช่หรือ. อนึ่ง เมื่อไม่มีผู้เสพ ผลจะพึงมีแก่ใครเล่า.
เพราะฉะนั้น วิธีนี้จึงไม่งาม.
ท่านกล่าวไว้ในบทนี้ว่า
สนฺตาเน ยํ ผลํ เอตํ นาญฺญสฺส น จ อญฺญโต
พีชานํ อภิสงฺขาโร เอตสฺสตฺถสฺส สาธโก.

ผลใดในสันดาน ผลนี้มิใช่ของกรรมอื่น
และไม่มีแต่กรรมอัน การปรุงแต่งพืชทั้งหลายเป็น
ข้อพิสูจน์เนื้อความนี้.
ผลสฺสุปฺปติยา เอว สิทฺธา ภุญฺชกสมฺมติ
ผลุปฺปาเทน รุกฺขสฺส ยถา ผลติสมฺมติ.
สมมติว่า บุคคลผู้เสวยสำเร็จ เพราะความ
เกิดขึ้นแห่งผล ก็เหมือนกับสมมติว่า ต้นไม้ย่อม
ผลิผล เพราะความเกิดขึ้นแห่งผล.

แม้ผู้ใดพึงกล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ สังขารเหล่านี้มีอยู่ก็ตาม
ไม่มีอยู่ก็ตาม พึงเป็นปัจจัยแก่ผล. อนึ่ง ผิว่า มีอยู่ในขณะเป็นไป
นั่นแหละ ก็พึงเป็นวิบากแห่งสังขารเหล่านั้น. ครั้นไม่มีอยู่ สังขาร
ทั้งหลาย พึงนำมาซึ่งผลเป็นนิจทั้งก่อนและหลังจากความเป็นไป. ปัญหา
กรรมนั้นพึงตอบกะผู้นั้นอย่างนี้ว่า
กฏตฺตา ปจฺจยา เอเต น จ นิจฺจผลาวหา
ปาฏิโภคาทิกํ ตตฺถ เวทิตพฺพํ นิทสฺสนํ.
สังขารเหล่านี้เป็นปัจจัยเพราะกระทำ มิใช่
นำมาซึ่งผลเป็นนิจเลย ในเรื่องนั้น พึงทราบเรื่อง
นายประกันเป็นต้น เป็นตัวอย่าง.

บทว่า วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ - เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป ความว่า เวทนา สัญญา สังขาร เป็นนาม. มหาภูต
รูป 4 และรูปอาศัยมหาภูตรูป 4 เป็นรูป. ธรรม 23 เหล่านี้ได้
รูป 20 คือ วัตถุทสกะ กายทสกะ ในขณะแห่งปฏิสนธิของสัตว์
ผู้เกิดในครรภ์ ผู้ไม่มีภาวะ กับสัตว์ผู้เกิดในไข่ และอรูปขันธ์ 31
พึงทราบว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป. เพิ่มภาวทสกะ
แห่งสัตว์ผู้มีภาวรูป จึงเป็นธรรม 33.

ธรรม 42 เหล่านี้ คือ รูป 39 คือ จักขุทสกะ โสตทสกะ
วัตถุทสกะ และชีวิตินทริยนวกะ ในขณะแห่งปฏิสนธิของพรหมกายิกา
คือเทพผู้นับเนื่องในหมู่พรหมเป็นต้น ในบรรดาสัตว์ผู้เป็นโอปปาติกะ
ทั้งหลาย และอรูปขันธ์ 3. พึงทราบว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมี
นามรูป.
อนึ่ง ในกามภพธรรม 73 เหลานี้ คือ รูป 70 ได้แก่ จักขุ-
ทสกะ โสตทสกะ ฆานทสกะ ชิวหาทสกะ กายทสกะ วัตถุทสกะ
ภาวทสกะ ในขณะปฏิสนธิของโอปปาติกะก็ดี สังเสทชะก็ดี ซึ่งมี
อายตนะบริบูรณ์ตามสภาพ. และอรูปขันธ์ 3. ชื่อว่า เพราะวิญญาณ
เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป. นี้เป็นความยอดเยี่ยม. แต่โดยความย่อหย่อน
1. อรูปขันธ์ 3 ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์.

พึงทราบกำหนดนามรูป เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยในปฏิสนธิเพราะ
ลดลง ๆ ด้วยสามารถแห่งความไม่ปกติของทสกะนั้น ๆ แห่งนามรูป
นั้น ๆ. อรูปขันธ์ 3 ของธรรมไม่มีรูป. ชีวิตนทริยนวกะนั่นแหละ
โดยเป็นรูปของธรรมไม่มีสัญญา. ในปฏิสนธิก็มีนัยนี้.

ในบทนั้น พึงมีคำถามว่า ข้อนั้นจะพึงรู้ได้อย่างไร ? ปฏิสนธิ
นามรูป มีวิญาณเป็นปัจจัยหรือ. ตอบว่า รู้ได้โดยสูตรและโดยยุกติ-
ความชอบด้วยเหตุผล. เพราะในสูตร ความที่เวทนาเป็นต้น มีวิญญาณ
เป็นปัจจัย เป็นที่รับรองกันโดยส่วนมากตามนัยมีอาทิว่า ธรรมทั้งหลาย
หมุนเวียนไปตามจิต1 แต่โดยยุกติว่า
จิตฺตเชน หิ รูเปน อิธ ทิฏฺเฐน สิชฺฌติ
อทิฏฺฐสฺสาปิ รูปสิส วิญฺญาณํ ปจฺจโย อิติ.
ความจริง วิญญาณย่อมสำเร็จด้วยรูป อัน
เกิดแต่จิตเห็นแล้ว ในที่นี้ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่
รูปแม้ที่ไม่เห็น.

บทว่า นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ - เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ นามได้กล่าวแล้ว. แต่รูปในที่นี้ โดยนิยมมี 11 อย่าง
คือ มหาภูตรูป 4 วัตถุ 6 ชีวิตินทรีย์ 1. อายตนะ 6 คือ จักขา-
1. อภิ. สํ. 34/959.

ยตนะ 1 โสตายตนะ 1 ฆานายตนะ 1 ชิวหายตนะ 1 กายายตนะ 1
มนายตนะ 1.

ในบทนั้น พึงมีคำถามว่า ข้อนั้นจะพึงรู้ได้อย่างไรว่า นามรูป
เป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ. ตอบว่า รู้ได้เพราะมีในความเป็นนามรูป.
จริงอยู่ อายตนะนั้น ๆ ย่อมมีในความเป็นแห่งนามและรูปนั้น ๆ. มิใช่
มีในที่อื่น.
บทว่า สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส - เพราะมีสฬายตนะเป็น
ปัจจัย จึงมีผัสสะ ความว่า
ผัสสะอย่างสังเขปมี 6 อย่าง มีจักขุสัมผัส
เป็นต้น. โดยพิสดารมี 32 อย่าง ดุจวิญญาณ.

บทว่า ผสฺสปจฺจยา เวทนา - เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี
เวทนา ความว่า
ท่านกล่าวเวทนา มีจักขุสัมผัสสชาเวทนา
เป็นต้นโดยทวาร เวทนาเหล่านั้นโดยประเภทมี 6
แต่ในที่นี้เวทนา มี 32.

บทว่า เวทนาปจฺจยา ตณฺหา - เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึง
มีตัณหา ความว่า
ในที่นี้ ท่านแสดงตัณหา 6 อย่าง โดย
พระเภท มีรูปตัณหาเป็นต้น ตัณหาอย่างหนึ่ง ๆ

รู้กันว่ามี 3 อย่าง โดยอาการที่เป็นไปในเวทนา
นั้น.
ผู้มีทุกข์ย่อมปรารถนาสุข ผู้มีสุขย่อม
ปรารถนาให้ยิ่ง ๆ ไป แต่อุเบกขาเป็นสุขอย่างเดียว
เพราะสงบ.
เพราะฉะนั้น ห เวทนา 3 อย่าง เป็นปัจจัย
แก่ตัณหา พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงคุณใหญ่
จึงตรัสว่า เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา.

บทว่า ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน ความว่า อุปาทาน 4 คือ กามุปาทาน 1 ทิฏฐุปาทาน 1
สีลัพพตุปาทาน 1 อัตตวาทุปาทาน 1.

บทว่า อุปาทานปจฺจยา ภโว - เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึง
มีภพ. ในที่นี้ท่านประสงค์เอากรรมภพ. แต่ท่านกล่าวอุปปัตติภพ
ด้วยการมุ่งถึงศัพท์.
บทว่า ภวปจฺจย ชาติ - เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ คือ
ความปรากฏแห่งปฏิสนธิขันธ์ เพราะมีกรรมภพเป็นปัจจัย.
ในบทนั้น หากจะพึงมีคำถามว่า ข้อนั้นจะพึงรู้ได้อย่างไรเล่า
ว่า ภพเป็นปัจจัยแก่ชาติ. ตอบว่า รู้ได้ เพราะแสดงถึงความต่างกัน
มีเลวและประณีตเป็นต้น แม้ในความเสมอกันโดยปัจจัยภายนอก ท่าน

ก็แสดงความต่างกันมีเลวและประณีตเป็นต้นของสัตว์ทั้งหลายตั้ง 100 คู่
แม้ในความเสมอกันแห่งปัจจัยภายนอก มีบิดามารดา เลือดขาว และ
อาหารเป็นต้น. ความต่างกันนั้นมิใช่เป็นอเหตุกะ เพราะไม่มีในกาล
ทั้งปวงและแก่สัตว์ทั้งปวง. มิใช่เหตุอื่นจากกรรมภพ เพราะไม่มีเหตุ
อื่นในสันดานภายในของสัตว์ผู้เกิดในกรรมภพนั้น เพราะเหตุนั้น จึง
ชื่อว่า มีกรรมภพเป็นเหตุ. จริงอยู่ กรรมเป็นเหตุแห่งความแปลกกัน
มีความเลวและประณีตเป็นต้นของสัตว์ทั้งหลาย.

ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า กมฺมํ สตฺเต
วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย1 - กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลาย
คือ เพราะความเลวและประณีต.


ในบทมีอาทิว่า ชาติปจฺจยา ชรามรณํ - เพราะมีชาติเป็นปัจจัย
จึงมีชราและมรณะ มีอธิบายดังต่อไปนี้ พึงทราบว่า เพราะเมื่อไม่มี
ชาติ ชรามรณะ หรือว่าธรรมมีโสกะเป็นต้น ก็ไม่มี. แต่เมื่อมีชาติ
ชรามรณะและธรรมทั้งหลายมีโสกะเป็นต้น อันเกี่ยวเนื่องกับชรามรณะ
ของคนพาลผู้ถูกทุกขธรรม กล่าวคือ ชรามรณะถูกต้องแล้ว หรือไม่
เกี่ยวเนื่องของตนพาลผู้ถูกทุกขธรรมนั้น ๆ ถูกต้องแล้ว ก็มี. ฉะนั้น ชาติ
นี้จึงเป็นปัจจัยแห่งชรามรณะแห่งโสกะเป็นต้น.
1. ม. อุ. 14/596.

ในบทมีอาทิว่า โส ตถา ภาวิเตน จิตฺเตน - ภิกษุนั้นมีจิต
อบรมแล้วอย่างนั้น พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้ บทว่า ปุพฺเพนิวา-
สานุสฺสติญาณาย
ท่านอธิบายว่า เพื่อบรรลุญาณนั้น คือ ถึง.
บทว่า อเนกวิหิตํ คือ หลายอย่าง. หลายประการ. หรือเป็นไปแล้ว
พรรณนาแล้ว โดยประการไม่น้อย.
บทว่า ปุพฺพนิวาสํ - ชาติก่อน คือ สันดานที่อยู่ในชาตินั้น ๆ
ทำภพในอดีตที่ใกล้ที่สุดให้เป็นเบื้องต้น. บทว่า อนุสฺสรติ - ย่อมระลึก
ตามไป ๆ ด้วยสามารถลำดับขันธ์ หรือด้วยสามารถจุติปฏิสนธิ. จริง
อยู่ ชนทั้ง 6 คือ เดียรถีย์ 1. สาวกธรรมดา 1. มหาสาวก 1.
อัตรสาวก 1. พระปัจเจกพุทธเจ้า 1. พระพุทธเจ้า 1 ย่อมระลึก
ถึงชาติก่อนนี้ได้.

ในชนเหล่านั้น เดียรถีย์ทั้งหลาย ย่อมระลึกได้ 40 กัป.
ไม่ยิ่งไปกว่านั้น. เพราะเหตุไร เพราะเดียรถีย์มีปัญญาอ่อน. จริงอยู่
ปัญญาของเดียรถีย์เหล่านั้น อ่อนเพราะไม่มีการกำหนดนามรูป.
สาวกธรรมดา ย่อมระลึกได้ 100 กัปบ้าง 1,000 กัปบ้าง
เพราะมีปัญญาแก่กล้า. มหาสาวก 80 รูป ระลึกได้ แสนกัป.
อัครสาวก ทั้งสองระลึกได้ อสงไขยหนึ่ง กับแสนกัป. พระปัจเจก-
พุทธเจ้า
ระลึกได้ สองอสงไขย กับแสนกัป. เพราะอภินิหารของ

พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น มีประมาณเพียงนี้. แต่ พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย
ระลึกได้ ไม่มีกำหนด.
อนึ่ง เดียรถีย์ทั้งหลาย ระลึกได้ลำดับขันธ์เท่านั้น พ้นลำดับ
ไปแล้วไม่สามารถระลึกถึงจุติและปฏิสนธิได้. เดียรถีย์เหล่านั้นระลึกได้
ไม่พ้นลำดับขันธ์ เหมือนคนตาบอดไม่ปล่อยไม้เท้าเดินไปฉะนั้น.
สาวกธรรมดา ระลึกได้แม้ตามลำดับขันธ์ ย่อมก้าวไปถึงจุติ
ปฏิสนธิ. มหาสาวก 80 รูป ก็อย่างนั้น. ส่วน อัครสาวกทั้งสอง
ไม่มีกิจต้องระลึกตามลำดับขันธ์ คือ เห็นจุติของอัตภาพหนึ่งแล้ว
แล้วย่อมเห็นปฏิสนธิด้วย ย่อมก้าวเลยไปถึงจุติและปฏิสนธิอย่างนี้ คือ
ครั้นเห็นจุติของคนอื่นอีก ก็ย่อมเห็นปฏิสนธิด้วย. พระปัจเจกพุทธ-
เจ้า
ก็เหมือนกัน. ส่วน พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีกิจต้องระลึก
ตามลำดับขันธ์ ไม่มีกิจต้องระลึกก้าวไปถึงจุติปฏิสนธิ เพราะว่า พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายทรงปรารถนาฐานะใด ๆ ข้างล่าง คือ ล่วงแล้วก็ดี
ข้างบน คือ อนาคตก็ดี ในโกฏิกัปไม่น้อยฐานะนั้นๆ ย่อมปรากฏ
ได้ทีเดียว. เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงย่อโกฏิกัปแม้ไม่
น้อย แล้วปรารถนาฐานะใด ๆ ทรงก้าวเข้าไปในฐานะนั้น ๆ ด้วย
สามารถแห่งการก้าวไปของพระพุทธเจ้าผู้สีหะ. ญาณของพระพุทธเจ้า
เหล่านั้นไปอยู่อย่างนี้ ไม่ติดขัดในชาติในระหว่าง ๆ ย่อมถือเอาฐานะ
ที่ปรารถนาแล้ว ๆ.

ก็บรรดาชนทั้ง 6 เหล่านี้ระลึกถึงชาติก่อนอยู่ การเห็นชาติ
ก่อนของพวกเดียรถีย์ ย่อมปรากฏเช่นกับแสงหิงห้อย. ของสาวก
ธรรมดาเช่นกับแสงประทีป. ของมหาสาวกเช่นกับแสงคบเพลิง. ของ
พระอัครสาวกเช่นกับรัศมีดาวประกายพรึก. ของพระปัจเจกพุทธเจ้า
เช่นกับรัศมีพระจันทร์. ของพระพุทธเจ้า ย่อมปรากฏเช่นกับมณฑล
พระอาทิตย์ในสรทกาล1ประดับด้วยรัศมีพันดวง.
การระลึกถึงชาติก่อนของเดียรถีย์ ดุจคนตาบอดเดินไปด้วย
ปลายไม้เท้า. ของสาวกธรรมดา ดุจเดินไปตามสะพานด้วยไม้เท้า. ของ
พระมหาสาวก ดุจเดินไปตามสะพานด้วยลำแข้ง. ของพระอัครสาวก
ดุจเดินไปตามสะพานเกวียน. ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ดุจเดินไปตาม
ทางด้วยกำลังแข้ง. ของพระพุทธเจ้า ดุจเดินไปตามทางเกวียนใหญ่.
ก็ในอธิการนี้ ท่านประสงค์เอาการระลึกถึงชาติก่อนของพระสาวก
ทั้งหลาย.
เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้เป็นอาทิกรรมิกะประสงค์ระลึกถึงอย่างนี้
กลับจากบิณฑบาตฉันอาหารแล้ว ไปในที่ลับหลีกเร้นอยู่ เข้าฌาน 4
ตามลำดับ ครั้นออกจากจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา พิจารณา
ปฏิจจสมุปบาทโดยนัยดังกล่าวแล้ว ควรนั่งพิจารณาข้างหลังภิกษุทั้ง
หมด. จากนั้นควรคำนึงถึงกิจที่ทำตลอดคืนวันทั้งสิ้นตามลำดับ โดย
1. ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูสารท คือเทศกาลทำบุญเดือนสิบ

ทบทวนอย่างนี้ คือ ปูอาสนะเข้าไปยังเสนาสนะ เก็บบาตรจีวร เวลา
ฉัน เวลานาจากบ้าน เวลาเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้าน เวลาเข้าไปสู่บ้าน
เพื่อบิณฑบาต เวลาออกจากวัด เวลาไหว้พระเจดีย์และต้นโพธิ เวลา
ล้างบาตร เวลารับบาตร กระทำกิจตั้งแต่รับบาตรจนถึงล้างบาตร ทำกิจ
ในเวลาใกล้รุ่ง ทำกิจในมัชฌิมยาม ในปฐมยามะ กิจประมาณเท่านี้
ย่อมปรากฏแม้แก่จิตปกติ.

ส่วนจิตในบริกรรมสมาธิ ย่อมปรากฏยิ่งขึ้นไป หากไม่มีอะไร ๆ
ปรากฏในจิตนี้ ควรเข้าฌานเป็นบาทอีก ครั้นออกแล้วจึงควรคำนึงถึง
ด้วยเหตุนี้ จิตจะปรากฏดุจในประทีปที่สว่างไสว. ควรคำนึงถึงกิจที่ทำ
ในวันทีสองบ้าง ในวันที่สาม ที่สี่ ที่ห้าบ้าง ในสิบวันบ้าง ในกึ่งเดือน
บ้าง ในเดือนหนึ่งบ้าง ในปีหนึ่งบ้าง ตามลำดับ การทบทวนอย่างนี้
นั่นแหละ. โดยอุบายนี้ คำนึงถึงตลอดปฏิสนธิของตนในภพนี้ คือ
สิบปี ยี่สิบปี พึงคำนึงถึงนามรูปอันเป็นไปในขณะจุติในภพก่อน

จริงอยู่ ภิกษุผู้ฉลาด ครั้นเพิกถอนปฏิสนธิในวาระที่หนึ่งได้แล้ว
ย่อมพอที่จะทำนามรูปให้เป็นอารมณ์. เพราะนามรูปในภพก่อนดับไม่
เหลือ. ในภพนี้นามรูปอื่นเกิด. ฉะนั้น ฐานะนั้นจึงเป็นดุจทางปิด
มืดสนิท ที่คนปัญญาทรามเห็นได้ยาก. แม้ด้วยเหตุนั้นก็ไม่ควรทอด
ธุระว่า เราไม่อาจจะเพิกถอนปฏิสนธิ แล้วท่านามรูปให้เป็นอารมณ์ใน

ขณะจุติได้. ควรเข้าฌานอันเป็นบาทนั้นแหละบ่อย ๆ ครั้นออกจาก
ฌานแล้ว ควรคำนึงถึงฐานะนั้น ๆ.

เพราะเมื่อภิกษุทำอยู่อย่างนี้ ครั้นออกจากฌานอันเป็นบาทแล้ว
ไม่คำนึงถึงฐานะที่คำนึงถึงในกาลก่อน คำนึงถึงปฏิสนธิเท่านั้น เพิก
ถอนปฏิสนธิโดยไม่ชักช้าเพื่อทำนามรูป ในขณะจุติได้เป็นอารมณ์.
เหมือนอย่างบุรุษผู้มีกำลังตัดต้นไม้ใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่ชื่อฟ้าเรือน
ยอด แม้ไม่สามารถจะตัดต้นไม้ใหญ่ด้วยคมขวานอันทื่อ โดยเพียง
ตัดกิ่งและใบเท่านั้น อย่าทอดธุระควรไปโรงช่างเหล็กให้ลับขวานให้คม
แล้วกลับมาตัดใหม่. เมื่อขวานไม่คมอีก ก็ควรให้ช่างเหล็กลับอีกแล้ว
พึงตัด. บุรุษนั้นเมื่อตัดอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็จะโคนต้นไม้ใหญ่ลงได้
เพราะเมื่อตัดได้แล้ว ๆ ก็ไม่มีต้นไม้ควรตัดอีก และเพราะต้นไม้ที่จะ
ตัดไม่มีแล้ว ฉะนั้น. ญาณที่เป็นไปเพราะทำนามรูปให้เป็นอารมณ์ตั้งแต่
การนั่งลงครั้งสุดท้ายจนถึงปฏิสนธิ ไม่ชื่อว่าบุพเพนิวาสญาณ แต่ญาณ
นั้นชื่อว่า บริกรรมสมาธิญาณ. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ญาณนี้เป็น
อตีตังสญาณบ้าง. คำนั้นหมายถึงรูปาวจร เพราะอตีตังสญาณเป็นนรูปา-
วจร จึงไม่ถูก. ก็ในกาลใดมโนทวาราวัชชนะก้าวล่วงปฏิสนธิของภิกษุ
นั้นแล้ว ทำนามรูปอันเป็นไปแล้วในขณะจุติให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว
อัปปนาจิตย่อมเกิดขึ้นโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในตอนก่อน. ในกาลนั้น

ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้นของภิกษุนั้น ชื่อว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ.
ภิกษุย่อมระลึกถึงชาติก่อน ด้วยสติอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยถีทํ เป็นนิบาตลงในอรรถแสดง
ถึงชนิดที่ปรารภแล้ว. พระสารีบุตรเถระ. เมื่อจะแสดงประเภทแห่ง
ชนิดของบุพเพนิวาสนั้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า เอกมฺปิ ชาตึ - ชาติ
หนึ่งบ้าง คือ ขันธสันดานอันเนื่องในภพหนึ่ง มีปฏิสนธิเป็นมูล มี
จุติเป็นปริโยสาน. ในบทมีอาทิว่า เทฺวปิ ชาติโย - สองชาติบ้าง มี
นัยนี้.
ในบทมีอาทิว่า อเนเกปิ สํวฏฏฺกปฺเป - ตลอดสังวัฏฏกัปเป็น
อันมาก มีอธิบายดังต่อไปนี้. กัปเสื่อม ชื่อว่า สังวัฏฏกัป เพราะ
ในครั้งนั้นสัตว์ทั้งปวงประชุมกันในพรหมโลก. กัปเจริญ ชื่อว่า
วิวัฏฏกัป เพราะในครั้งนั้นสัตว์ทั้งหลายออกจากพรหมโลก เป็นอัน
ท่านถือเอาการตั้งอยู่ในสังวัฏฏะ ด้วยสังวัฏฏะ และการตั้งอยู่ใน
วิวัฏฏะ ด้วยวิวัฏฏะ ในพรหมโลกนั้น เพราะมีพรหมโลกนั้นเป็นมูล.
จริงอยู่. เมื่อเป็นอย่างนี้ ย่อมเป็นอันท่านกำหนดอสงไขย 4 ดังที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัปหนึ่งมี 4 อสงไขย
4 อสงไขย เป็นไฉน ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน
กาลใด กัปเสื่อม. ตลอดกาลนั้นไม่ง่ายเพื่อจะนับ.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด สังวัฏฏกัปตั้งอยู่
ฯลฯ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด กัปเจริญ
ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใด วิวัฏฏกัป
ตั้งอยู่. ตลอดกาลนั้น ไม่ง่ายนักที่จะนับ.1

ในกัปเหล่านั้น สังวัฎฏกัป มี 3 คือ เตโชสังวัฏฏะ 1
อาโปสังวัฏฏะ 1 วาโยสังวัฏฏะ 1. สังวัฏฏสีมา - เขตของสังวัฏฏะ
มี 3 คือ อาภัสสรา 1 สุภกิณหา 1 เวหัปผลา 1. เมื่อใดกัปเสื่อม
เพราะไฟ ถูกไฟไหม้ถึงในเบื้องล่างแห่งอาภัสสรา. เมื่อใดกัปเสื่อม
เพราะน้ำ ถูกน้ำท่วมละลายไปถึงเบื้องล่างแห่งสุภกิณหา. เมื่อใดกัป
เสื่อม เพราะลม ถูกลมพัดกระหน่ำถึงในเบื้องล่างแห่งเวหัปผลา. ก็
โดยส่วนกว้างในกาลนั้น พุทธเขตหนึ่งก็ย่อมพินาศไปด้วย.
พุทธเขตม 3 คือ
ชาติเขต 1.
อาณาเขต 1.
วิสัยเขต 1.

ในเขต 3 เหล่านั้น เขตที่หวั่นไหวในการถือปฏิสนธิเป็นต้น
ของพระตถาคตมีหมื่นจักรวาฬเป็นที่สุด ชื่อว่า ชาติเขต.
1. องฺ. จตุกกฺ 21/156.

อานุภาพของพระปริตรเหล่านี้ คือ รตนปริตร ขันธปริตร
ธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร โมรปริตร
ย่อมเป็นไปในเขตที่มี
แสนโกฏิจักรวาลเป็นที่สุด ชื่อว่า อาณาเขต.
เขตที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ยาวตา วา ปน อากงฺเขยฺย1
หรือว่าพระตถาคตพึงหวังโดยประมาณเพียงใด
อันหาประมาณที่สุด
มิได้ ชื่อว่า วิสัยเขต. พระตถาคตย่อมทรงทราบเขตที่ทรงหวัง.
ในพุทธเขต 3 อย่างเหล่านี้ อาณาเขตหนึ่งย่อมพินาศไป. เมื่ออาณาเขต
นั้นพินาศไป ชาติเขตก็พินาศไปด้วย. เมื่อเขตนั้นพินาศ ย่อมพินาศไป
ด้วยกัน. เมื่อตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ด้วยกัน.

ความพินาศและการตั้งอยู่ของเขตนั้น พึงทราบอย่างนี้ สมัยใด
กัปพินาศเพราะไฟ. มหาเมฆที่ยังกัปให้พินาศแต่ต้นตั้งขึ้น ยังฝนหาใหญ่
อย่างหนึ่งให้ตกในแสนโกฏิจักรวาล. มนุษย์ทั้งหลายพากันยินดี นำ
พืชทั้งปวงออกหว่าน. ก็เมื่อข้าวกล้าเกิดพอโคเคี้ยวกินได้ มหาเมฆ
ร้องเหมือนลาร้อง. ฝนแม้หยาดหนึ่งก็ไม่ตก. เมื่อนั้นเป็นอันว่า ฝน
ขาดเม็ดเลยทีเดียว. สัตว์ผู้อาศัยฝนเลี้ยงชีพย่อมเกิดในพรหมโลกตาม
ลำดับ. และเทวดาผู้อาศัยผลบุญเลี้ยงชีพก็ไปเกิดในพรหมโลกด้วย.
เมื่อกาลผ่านไปนานอย่างนี้ น้ำในแม่น้ำนั้น ๆ ก็แห้งไป. แม้ปลาและ
1. องฺ. ติก. 20/520.

เต่าก็ตายไปตามลำดับ แล้วเกิดในพรหมโลก. แม้สัตว์นรกก็ไปเกิด
ด้วย.
ในข้อนี้ อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า สัตว์นรกย่อมพินาศไปใน
ความปรากฏแห่งพระอาทิตย์ดวงที่ 7. บุคคลไม่เว้นจากฌานย่อมเกิด
ในพรหมโลก. บางพวกถูกทุพภิกขภัยบีบคั้น. บางพวกไม่ควรเพื่อบรรลุ
ฌาน. สัตว์เหล่านั้นเกิดขึ้นพรหมโลกได้อย่างไร ?
ตอบว่า ด้วยอำนาจฌานที่ได้ในเทโลก.
จริงอยู่ ในกาลนั้น โดยล่วงไปแสนปีจักสิ้นกัป. ฉะนั้น
กามาวจรเทพทั้งหลาย ชื่อว่า โลกพยูหะ เป็นชาวโลก ปล่อยศีรษะ
ผมเผ้ารุงรัง ร้องไห้ เอามือเช็ดน้ำตา นุ่งผ้าแดง มีเพศผิดรูปยิ่งนัก
เที่ยวไปในทางของมนุษย์ พากันบอกกล่าวอย่างนี้ว่า
ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปแสนปีจากนี้จัก
สิ้นกัป. โลกนี้จักพินาศ. แม้มหาสมุทรก็จัก
เหือดแห้ง. และมหาปฐพีพระยาภูเขาสิเนรุจักถล่ม
ทลายพังพินาศไป. โลกจักพินาศตลอดถึงพรหม
โลก. ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย พวกท่านจงเจริญ เมตตา
กรุณา มุทิตา อุเบกขากันเถิด. จงบำรุงมารดา
บิดา จงเป็นผู้อ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล ดังนี้.

พวกมนุษย์และภุมมเทวดาโดยมาก ครั้นสดับคำของกามาวจร
เทพเหล่านั้น แล้วพากันเกิดสังเวช มีจิตอ่อนต่อกันและกัน ทำบุญ
มีเมตตาเป็นต้น แล้วไปบังเกิดในเทวโลก. ณ เทวโลกนั้น ทวยเทพ
บริโภคอาหารทิพย์ ทำบริกรรมในวาโยกสิณแล้วได้ฌาน. ส่วนมนุษย์
พวกอื่นบังเกิดในเทวโลก ด้วยอปราปริยเวทนียกรรม - กรรมให้ผลใน
ภพต่อ ๆ ไป. สัตว์ ชื่อว่า ท่องเที่ยวไปในสงสาร เว้นอปราปริยเวท-
นียกรรมไม่มี. แม้สัตว์เหล่านั้นก็ย่อมได้ฌานอย่างนั้นในภพนั้น. สัตว์
ทั้งปวงย่อมบังเกิดในพรหมโลก ด้วยอำนาจฌานที่ได้แล้วในเทวโลก
อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.

โดยกาลยาวนานขึ้นไปโดยการกำหนดปี พระอาทิตย์ดวงที่สอง
ย่อมปรากฏ. เมื่อพระอาทิตย์นั้นปรากฏการกำหนดคืนวันไม่ปรากฏ.
พระอาทิตย์ดวงหนึ่งขึ้น. ดวงหนึ่งตก. โลกไม่ขาดความร้อนจากดวง
อาทิตย์. ในพระอาทิตย์ที่ยังกัปให้พินาศไม่มีสุริยเทพบุตร. เหมือนใน
พระอาทิตย์ปกติ เมื่อพระอาทิตย์ปกติยังเป็นไปอยู่วลาหกบ้าง เปลวไฟ
บ้าง ย่อมไปในอากาศ. เมื่อพระอาทิตย์ยังกัปให้พินาศกำลังเป็นไป
ท้องฟ้าปราศจากควันและวลาหก ดุจบานกระจกไม่มีฝ้า ฉะนั้น. น้ำ
ในลำธารเป็นต้นแห้ง เว้นมหานทีทั้ง 5 จากนั้นโดยล่วงกาลยาวนาน
พระอาทิตย์ดวงที่ 3 ปรากฏ. เพราะอาทิตย์ดวงที่ 3 นั้น ปรากฏ
แม้มหานทีก็แห้ง. จากนั้นโดยล่วงกาลยาวนาน พระอาทิตย์ดวงที่ 4

ปรากฏ. เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ 4 ปรากฏ มหาสระ 7 เหล่านี้ คือ
สีหปาตนะ 1 หังสปาตนะ กัณณมุณฑกะ 1 รถการทหะ 1 อโน-
ตัตตทหะ 1 ฉัททันตทหะ 1 กุณาลวาหะ 1 แห้ง เพราะเป็นแหล่ง
เกิดมหานทีในป่าหิมพานต์. จากนั้นโดยล่วงกาลยาวนาน พระอาทิตย์
ดวงที่ 5 ปรากฏ. เพราะพระอาทิตย์ดวงที่ 5 นั้นปรากฏ น้ำแม้เพียง
เปียกข้อนิ้วมือ ก็ไม่เหลืออยู่ในมหาสมุทรโดยลำดับ. จากนั้นโดยล่วง

กาลยาวนาน พระอาทิตย์ดวงที่ 6 ปรากฏ. เพราะพระอาทิตย์ดวง
ที่ 6 นั้นปรากฏ จักรวาลทั้งสิ้นมีควันพวยพุ่งเป็นอันเดียวกัน ติดแน่น
ไปด้วยควัน. แม้แสนโกฏิจักรวาลก็เหมือนอย่างจักรวาลนั้น. จากนั้น

โดยล่วงกาลยาวนาน พระอาทิตย์ดวงที่ 7 ปรากฏ. เพราะพระอาทิตย์
ดวงที่ 7 นั้นปรากฏ จักรวาลทั้งสิ้นพร้อมด้วยแสนโกฏิจักรวาล ก็มี
เปลวไฟโชติช่วงเป็นอันเดียวกัน. แม้ยอดภูเขาสิเนรุสูงประมาณ 100
โยชน์ ก็ทำลายหายไปในอากาศนั่นเอง. เปลวไฟนั้นลุกโพงลงจดสวรรค์
ชั้นจาตุมมหาราชิกา. เปลวไฟเผากนกวิมาน รัตนวิมาน และมณีวิมาน
จดดาวดึงสพิภพ. โดยอุบายนี้แหละ เปลวไฟจดจนถึงปฐมฌานภูมิ.

ไหม้พรหมโลกทั้ง 3 จดอาภัสสรพรหมตั้งอยู่. เปลวไฟนั้นยังไม่ดับ
ตราบเท่าสังขารแม้เพียงอณูหนึ่งยังมีอยู่. แต่เพราะสิ้นสังขารทั้งปวง
แม้เถ้าก็ไม่ให้เหลือเปลวไฟจึงดับ ดุจเปลวไฟเผาเนยใสและน้ำมัน

ฉะนั้น. อากาศเบื้องบนพร้อมด้วยอากาศเบื้องล่าง มืดตื้อเป็นอันเดียว
กัน.
ครั้นแล้ว โดยกาลล่วงยาวนาน มหาเมฆตั้งขึ้นยังฝนละเอียด ๆ
ให้ตกเป็นครั้งแรก. มหาเมฆยังสายฝนประมาณเท่าก้านบัว ไม้เท้า
สาก และต้นตาลเป็นต้นให้ตกโดยลำดับ ทำที่ที่ถูกไหม้ทั้งหมดให้เต็ม
แล้วหายไป. ตั้งขึ้นทำน้ำนั้นทั้งเบื้องล่างและเบื้องขวางให้เป็นก้อน
เป็นทางโดยรอบเช่นกับหยาดน้ำในใบบัว.

หากถามว่า ทำห้วงน้ำใหญ่ถึงเพียงนั้นให้เป็นก้อนได้อย่างไร ?
ตอบว่า เพราะเปิดเป็นช่องไว้. ให้ช่องในที่นั้น ๆ แก่ห้วงน้ำ
นั้น. น้ำนั้นถูกลมพัดรวมทำให้เป็นก้อนสิ้นไป ย่อมไหลลงเบื้องล่าง
ตามลำดับ. เมื่อน้ำไหลลง ๆ พรหมโลกย่อมปรากฏในที่ของพรหมโลก.
อนึ่ง เทวโลกย่อมปรากฏในที่แห่งกามาวจรเทวโลกในเบื้องบน. เมื่อ
น้ำไหลลงสู่พื้นดินดังก่อน ลมแรงย่อมเกิดขึ้น. ลมแรงเหล่านั้นปิดกั้น
ทำให้น้ำไม่ไหลออก ดุจน้ำที่ขังอยู่ในธมกรกที่ปิดปากไว้. เมื่อน้ำหวาน
หมดไปยังง้วนดิน (รสปฐวึ) ให้ตั้งขึ้นเบื้องบน. ง้วนดินนั้น มีสี มี
กลิ่นและรสดุจลาดไว้เบื้องบนข้าวปายาสที่ไม่มีน้ำ. ในกาลนั้น สัตว์ทั้ง-
หลายที่เกิดก่อนในอาภัสสรพรหมโลก เคลื่อนจากนั้น เพราะสิ้นอายุก็ดี
เพราะหมดบุญก็ดี ย่อมเกิด ณ ที่นี้. สัตว์เหล่านั้นมีรัศมีที่ตัว เหาะไปใน
อากาศได้. สัตว์เหล่านั้น ครั้นลิ้มแผ่นดินมีรสนั้น ตามนัยดังกล่าว

แล้ว ในอัคคัญญสูตร1 ถูกตัณหาครอบงำ พยายามจะบริโภคสิ่งที่ทำ
ให้เกิดความโลภ.
ครั้งนั้น รัศมีที่ตัวของสัตว์เหล่านั้นก็หายไป. มีความมืด.
สัตว์เหล่านั้นเห็นความมืดก็กลัว. แต่นั้นสุริยมณฑลเต็ม 50 โยชน์
ปรากฏขึ้นยังความกลัวของสัตว์เหล่านั้นให้หายไป ให้เกิดความกล้า.
สัตว์เหล่านั้น ครั้นเห็นสุริยมณฑลนั้น ต่างร่าเริงยินดีว่า เราได้แสง
สว่างแล้ว จึงตั้งชื่อสุริยมณฑลนั้นว่า สุริยะ เพราะตั้งขึ้นทำให้พวก
เราหายกลัวเกิดความกล้าขึ้น เพราะฉะนั้น ขอจงเป็นสุริยะเถิด.
ครั้นเมื่อพระสุริยะทำแสงสว่างตลอดวันแล้วดับไป สัตว์ทั้งหลาย
มีความกลัวอีกว่า แสงสว่างที่เราได้ หายไปเสียแล้ว. สัตว์เหล่านั้นจึงคิด
อย่างนี้ว่า จะเป็นการดีหากพวกเราได้แสงสว่างอื่น. จันทมณฑล
ประมาณ 49 โยชน์ ปรากฏขึ้นเหมือนรู้จิตของสัตว์เหล่านั้น. สัตว์
เหล่านั้นครั้นเห็นจันทมณฑลนั้น พากันร่าเริงยินดีอย่างยิ่ง จึงตั้งชื่อ
จันทมณฑลนั้นว่า จันทะ เพราะตั้งขึ้นคล้ายรู้ความพอใจของพวกเรา
เพราะฉะนั้น ขอจงเป็นจันทะเถิด.
เมื่อพระจันทร์ พระอาทิตย์ปรากฏอย่างนี้ นักษัตรทั้งหลาย
ก็ปรากฏเป็นรูปดาว. จำเดิมแต่นั้น กลางคืน กลางวัน และกึ่งเดือน
1. ที. ปา. 11/56.

เดือนหนึ่ง ฤดู ปี ก็ปรากฏ ตามลำดับ. ในวันปรากฏพระจันทร์
พระอาทิตย์นั่นเอง ภูเขาสิเนรุ จักรวาล ป่าหิมพานต์ และภูเขา
ก็ปรากฏ. ทั้งหมดนั้นปรากฏในวันเพ็ญเดือน 4 ไม่ก่อน ไม่หลัง.
ปรากฏอย่างไร ? เหมือนอย่างว่า เมื่อข้าวฟ่างเดือดเกิดฟอง ด้วยการ
คนครั้งเดียวเท่านั้น. บางฟองก็เป็นเนิน ๆ คล้ายสถูป. บางฟองก็เป็น
ลุ่ม ๆ. บางฟองก็เสมอ ๆ ฉันใด. ในที่เป็นเนิน ๆ คล้ายสถูปก็เป็น
ภูเขา. ในที่ลุ่ม ๆ ก็เป็นมหาสมุทร. ในที่เสมอ ๆ ก็เป็นเกาะ.

ครั้นเมื่อสัตว์เหล่านั้นบริโภคง้วนดิน บางพวกก็มีผิวงาม
บางพวกก็มีผิวไม่งาม ตามลำดับ. ในสองพวกนั้น พวกที่มีผิวงามก็ดี
หมิ่นพวกมีผิวไม่งาม เพราะการดูหมิ่นของสัตว์เหล่านั้นเป็นปัจจัย
ง้วนดิน ก็หายไป. ปรากฏเป็นกะปิดิน.

ครั้นแล้ว กะปิดินของสัตว์ทั้งหลายนั้นหายไป โดยนัยนั้นก็
ปรากฏเป็นเครือดิน. แม้เครือดินนั้นก็หายไป โดยนัยนั้น. ก็ปรากฏ
เป็นข้าวสาลี ไม่ใช้ฟืนหุง ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ บริสุทธิ์ มีกลิ่นหอม
มีผลเป็นข้าวสาร. แต่นั้น ภาชนะย่อมเกิดแก่สัตว์เหล่านั้น. สัตว์เหล่า
นั้นวางข้าวสาลีบนภาชนะ แล้วตั้งไว้บนแผ่นหิน. เปลวไฟเกิดขึ้นเอง
หุงข้าวสาลีนั้น. ข้าวสุกนั้นเหมือนดอกมะลิตูม. ไม่ต้องทำแกงหรือผัก
แห่งข้าวสาลีนั้น. ปรารถนาจะบริโภครสใด ๆ ก็มีรสนั้น ๆ ให้บริโภค.

เมื่อสัตว์เหล่านั้นนบริโภคอาหารหยาบ ตั้งแต่นั้นมูตรและกรีสก็เกิด
ครั้นสัตว์เหล่านั้นต้องการให้มูตรและกรีสออก ก็แยกเป็นปาก
แผล. ความเป็นชายก็ปรากฏแก่ชาย. ความเป็นหญิงก็ปรากฏแก่หญิง
เล่ากันว่าในครั้งนั้น หญิงเพ่งชาย และชายเพ่งหญิงเกินเวลา. เพราะ
สัตว์เหล่านั้นเพ่งกันเกินเวลาเป็นปัจจัย จึงเกิดความเร่าร้อนทางกาม.
แต่นั้นก็เสพเมถุนกัน. สัตว์เหล่านั้นถูกวิญญูชนติเตียนทำให้ลำบาก
เพราะการเสพอสัทธรรม จึงสร้างเรือนเพื่อปกปิดอสัทธรรมนั้น. สัตว์
เหล่านั้น เมื่อครองเรือน ก็ดำเนินตามทิฏฐานุคติของสัตว์ผู้ไม่เกียจ
คร้านคนใดคนหนึ่งตามลำดับ ทำการสะสม.
จำเดิมแต่นั้น รำบ้าง แกลบบ้าง ก็หุ้มห่อข้าวสาร. แม้ที่เกี่ยวแล้ว
ก็ไม่งอก. สัตว์เหล่านั้นประชุมกัน ทอดถอนใจว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ธรรม
ลามกปรากฏแล้วในสัตว์ทั้งหลาย เพราะพวกเราเมื่อก่อนได้เป็นผู้
สำเร็จแล้วแต่ใจ ดังนี้ พึงให้พิสดารโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในอัคคัญญ-
สูตร1. แต่นั้นสัตว์ทั้งหลาย จึงได้ตั้งระเบียบปฏิบัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้.
หากสัตว์ผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาส่วนของคนอื่นที่เขาไม่ให้. ว่ากล่าว
สองครั้ง ในครั้งที่สามประหารด้วยฝ่ามือ ก้อนดิน และท่อนไม้. สัตว์
เหล่านั้น เมื่อเกิดมีการลักทรัพย์ พูดติเตียน พูดเท็จ ทำร้ายร่างกาย
ขึ้น จึงประชุมกันคิดว่า ถ้ากระไรพวกเราควรยกย่องสัตว์ผู้หนึ่ง. เรา
1. ที. ปา. 11/61.

จักเพิ่มส่วนแห่งข้าวสาลีให้แก่ผู้ที่พึงข่มผู้ที่ควรข่ม พึงติเตียนผู้ที่ควร
ติเตียน พึงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ โดยชอบของพวกเรา.
ก็เมื่อสัตว์ทั้งหลายทำความตกลงกันอย่างนี้แล้ว ในกัปนี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้านี้แหละยังเป็นพระโพธิสัตว์ มีรูปงามกว่า น่าดูกว่า มี
ศักดิ์ใหญ่กว่า สัตว์เหล่านั้นในสมัยนั้น สมบูรณ์ด้วยปัญญา มีกำลัง
สามารถเพื่อจะทำการข่มและยกย่องได้. สัตว์เหล่านั้น จึงพากันเข้า
ไปหาพระโพธิสัตว์นั้น วิงวอนยกย่อง. พระโพธิสัตว์นั้น ปรากฏด้วย
นาม 3 คือ ชื่อว่ามหาสมมต เพราะมหาชนสมมต 1. ชื่อว่าขัตติยะ
เพราะเป็นอธิบดีแห่งเขตทั้งหลาย 1. ชื่อว่าราชา เพราะให้สัตว์ทั้งหลาย
เหล่าอื่นยินดี โดยธรรมเสมอ 1. พระโพธิสัตว์เป็นบุรุษคนแรก
ในฐานะเป็นอัจฉริยบุรุษในโลก. เมื่อทำพระโพธิสัตว์ให้เป็นอาทิบุรุษ
ดำรงในขัตติยมณฑล แล้ววรรณะทั้งหลายมีพราหมณ์เป็นต้น ก็ตั้งขึ้น
ตามลำดับ.
การทำลายด้วยเปลวไฟ ตั้งแต่มหาเมฆยังกัปให้พินาศ อสงไขย
หนึ่งนี้ ท่านเรียกว่า สังวัฏฏะ.
มหาเมฆสมบูรณ์ยังแสนโกฏิจักรวาลให้เต็มเปี่ยม ตั้งแต่การทำ
ลายด้วยเปลวไฟอันยังกัปให้พินาศ อสงไขยที่สองนี้ ท่านเรียกว่า
สังวัฏฏัฏฐายี.
ความปรากฏแห่งพระจันทร์ พระอาทิตย์ ตั้งแต่มหาเมฆสมบูรณ์

อสงไขยที่ 3 นี้ ท่านเรียกว่า วิวัฏฏะ.
มหาเมฆยังกัปให้พินาศอีก ตั้งแต่ความปรากฏแห่งพระจันทร์
พระอาทิตย์ อสงไขยที่ 4 นี้ ท่านเรียกว่า วิวัฏฏัฏฐายี.

อสงไขย 4 เหล่านี้ เป็นมหากัปหนึ่ง. พึงทราบความพินาศ
ด้วยไฟและความตั้งอยู่ ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง สมัยใดกัปพินาศไปด้วยน้ำ มหาเมฆยังกัปให้พินาศแต่ต้น
ตั้งขึ้น พึงให้พิสดารโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในตอนก่อนนั่นแหละ. แต่
ความแปลกกกันมีดังต่อไปนี้. มหาเมฆมีน้ำกรดยังกัปให้พินาศ ตั้งขึ้น
ในที่นี้. เหมือนพระอาทิตย์ดวงที่สองตั้งขึ้นในอากาศนั้น ฉะนั้น.
มหาเมฆนั้น เมื่อยังฝนละเอียดได้ตกแต่ต้น ย่อมให้ตกเต็มแสนโกฏิ
จักรวาล ด้วยสายฝนใหญ่ตามลำดับ แผ่นดินและภูเขาเป็นต้น ถูก
น้ำกรด ถูกต้องแล้ว ๆ ย่อมละลาย น้ำถูกลมพัดไปโดยรอบ น้ำท่วม
ตั้งแต่แผ่นดินถึงทุติยฌานภูมิ น้ำนั้น ยังพรหมโลกแม้ 3 ให้ย่อยยับ
ไปในที่นั้น แล้วจดถึงสุภกิณหาตั้งอยู่. น้ำนั้นยังไม่สงบตราบเท่าสังขาร
ประมาณอณูยังมีอยู่.
อนึ่ง น้ำนั้น ครอบงำสังขารทั้งปวงที่ไปตามน้ำแล้ว สงบทันที
หายไป อากาศเบื้องบนมืดมิดเป็นอันเดียว พร้อมกับอากาศเบื้องล่าง.
บททั้งปวงคล้ายกับที่กล่าวแล้ว แต่ในที่นี้ โลกทำ (สร้าง) อาภัสสร
พรหมโลกทั้งสิ้น ให้ปรากฏเป็นเบื้องต้น. สัตว์ทั้งหลายเคลื่อนจาก

สุภกิณหาแล้ว ย่อมเกิดในอาภัสสรพรหมเป็นต้น. การทำลายด้วยน้ำกรด
อันยังกัปให้พินาศ ตั้งแต่มหาเมฆยังกัปให้พินาศ นี้เป็นอสงไขยหนึ่ง
มหาเมฆสมบูรณ์ ตั้งแต่การทำลายด้วยน้ำ นี้เป็นอสงไขยที่สอง
... 4 อสงไขยเหล่านี้ ตั้งแต่มหาเมฆสมบูรณ์ ฯลฯ เป็นมหากัปหนึ่ง
พึงทราบความพินาศด้วยน้ำและการตั้งอยู่ ด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง สมัยใด กัปพินาศไปด้วยลมนั้น. มหาเมฆยังกัปให้พินาศ
ไปแต่ต้นตั้งขึ้นแล้ว พึงให้พิสดารตามนัยดังกล่าวแล้ว ในตอนก่อน
นั่นแหละ. แต่ความต่างกันมีดังต่อไปนี้. ลมตั้งขึ้นเพื่อยังกัปให้พินาศ
ในโลกนี้ เหมือนพระอาทิตย์ดวงที่สองในอากาศนั้น ฉะนั้น. ลมนั้น
ยังธุลีหยาบให้ตั้งขึ้นก่อน. แต่นั้นยังธุลีละเอียด ทรายละเอียด ทราย
หยาบ ก้อนกรวดและหินเป็นต้น ให้ตั้งขึ้นที่แผ่นหินประมาณเรือนยอด
และที่ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งขึ้นในที่ไม่เสมอ. ธุลีเหล่านั้นไม่ตกจากแผ่นดิน
อีก เพราะจมอยู่ในท้องฟ้า. ธุลีเหล่านั้นแหลกละเอียดไปในที่นั้น. ถึง
ความไม่มี.

ครั้นแล้ว ลมตั้งขึ้นที่ภายใต้แผ่นดินใหญ่ ตามลำดับ แล้ว
พลิกแผ่นดินทำรากดินไว้เบื้องบน แล้วซัดไปในอากาศ. ผินแผ่นดิน
มี 100 โยชน์เป็นประมาณ แตกไปประมาณสองโยชน์ สามโยชน์
สี่โยชน์ ห้าโยชน์ ถูกกำลังลมซัดไป แหลกละเอียดบนอากาศนั่นเอง
ถึงความไม่มี. ลมยกภูเขาจักรวาลบ้าง ภูเขาสิเนรุบ้าง ขึ้นแล้วซัดไป

ในอากาศ. ผินแผ่นดินเหล่านั้นกระทบกันและกัน แล้วแหลกละเอียด
พินาศไป. ด้วยอุบายนี้แหละ ลมยังภุมมัฏฐกวิมานและอากาสัฏฐกวิมาน
ให้พินาศ ยังกามาวจรเทวโลก 6 ให้พินาศ แล้วยังจักรวาลแสนโกฏิ
ให้พินาศ.
จักรวาลกระทบกับจักรวาล. หิมวันตะกระทบกับหิมวันตะ.
สิเนรุกระทบกับสิเนรุ แล้วแหลกละเอียดพินาศไป. ลมพัดตั้งแต่แผ่นดิน
จนถึงตติยฌานภูมิ. ลมยังพรหมโลก 3 ให้พินาศ จดถึงเวหัปผลา
ตั้งอยู่. ครั้นยังสังขารทั้งปวงให้พินาศไปอย่างนี้ แม้ตนเองก็พินาศไป
ด้วย. อากาศเบื้องบนกับอากาศเบื้องล่างมืดมิดเป็นอันเดียวกัน ทั้งหมด
คล้ายกับที่กล่าวแล้ว. แต่ในที่นี้ โลกทำคือสร้างสุภกิณหพรหมโลก
ในเบื้องต้นให้ปรากฏ.
อนึ่ง สัตว์ทั้งหลายเคลื่อนจากเวหัปผลาแล้ว ย่อมเกิดในสุภ-
กิณหพรหมโลกเป็นต้น. การทำลายด้วยลมยังกัปให้พินาศตั้งแต่มหาเมฆ
ยังกัปให้พินาศ นี้เป็นอสงไขยหนึ่ง. มหาเมฆสมบูรณ์ ตั้งแต่การ
ทำลายด้วยลม นี้เป็นอสงไขยที่สอง ฯลฯ อสงไขย 4 เหล่านั้น เป็น
มหากัปหนึ่ง. พึงทราบความพินาศด้วยลมและการตั้งอยู่ ด้วยประการ
ฉะนี้.

เพราะเหตุไร โลกจึงพินาศไปอย่างนี้. เพราะอกุศลมูลเป็นเหตุ.
เพราะเมื่ออกุศลมูลหนาขึ้นแล้ว โลกจึงพินาศไปอย่างนี้. อนึ่ง โลก

นั้นแล เมื่อราคะหนาขึ้นในลำดับ ย่อมพินาศไปด้วยไฟ. เมื่อ
โทสะหนา ย่อมพินาศไปด้วยน้ำ.


แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เมื่อโทสะหนา โลกพินาศไปด้วย
ไฟ. เมื่อราคะหนาพินาศไปด้วยน้ำ. เมื่อโมหะหนาพินาศไปด้วยลม.
แม้เมื่อพินาศไปอย่างนี้ ย่อมพินาศไปด้วยไฟ 7 ครั้ง เป็นลำดับ. ใน
ครั้งที่ 8 พินาศไปด้วยน้ำ. พินาศไปด้วยไฟ 7 ครั้งอีก. ในครั้งที่ 8
พินาศไปด้วยน้ำ. เพราะเหตุนั้น เมื่อพินาศไป 8 ครั้ง ๆ อย่างนี้ พินาศ
ไปด้วยน้ำ 7 ครั้ง แล้วพินาศไปด้วยไฟอีก 7 ครั้ง ๆ ด้วยเหตุประมาณ
เท่านี้ 63 กัป เป็นอันล่วงไปแล้ว. ในระหว่างนี้ ลมได้โอกาสห้ามวาระ
อันพินาศไปด้วยน้ำ แม้ถึงพร้อมแล้ว กำจัดสุภกิณหพรหมโลกซึ่งมี
อายุ 64 กัป บริบูรณ์ ยังโลกให้พินาศ.
ภิกษุผู้ระลึกถึงกัป แม้ระลึกถึงชาติก่อน ย่อมระลึกถึง สังวัฏฏ-
กัป วิวัฏฏกัป สังวัฏฏวิวัฏฏกัป ไม่น้อยในกัปเหล่านั้น.
บทว่า สํวฏฺฏกปฺเป วิวฏฺฏกปฺเป ท่านกล่าวกำหนดครึ่งหนึ่ง
ของกัป.
บทว่า สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป ท่านกล่าวกำหนดเอากัปทั้งสิ้น.
หากถามว่า ระลึกถึงอย่างไร. ตอบว่า ระลึกถึงโดยนัยมีอาทิว่า อนุตฺราสึ
- ในชาติโน้นเราได้เป็นแล้ว.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อมุตฺราสึ คือ เราได้เป็นแล้วใน
สังวัฏฏกัปโน้น ความว่า เราได้เป็นแล้ว ในภพ ในกำเนิด ในคติ
ในวิญญาณฐิติ ในสัตตาวาส หรือในสัตตนิกาย.
บทว่า เอวํนาโม มีชื่ออย่างนี้ คือ ชื่อติสสะ หรือปุสสะ.

บทว่า เอวํโคตฺโต มีโคตรอย่างนี้ คือ กัจจานโคตร หรือ
กัสสปโคตร. บทนี้ ท่านกล่าวด้วยสามารถการระลึกถึงชื่อและโคตร
ของตน ในอดีตภพของภิกษุนั้น. ก็หากว่า ในกาลนั้น ภิกษุนั้น
ประสงค์จะระลึกถึงวรรณสมบัติ ความเป็นอยู่ประณีตและเศร้าหมอง
ความเป็นผู้มากด้วยสุขและทุกข์ หรือความมีอายุน้อย อายุยืนของตน.
ระลึกถึงได้. ด้วยเหตุนั้น พระสารีบุตรเถระ จึงกล่าวว่า เอวํวณฺโณ
ฯลฯ เอวมายุปริยนฺโต.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํวณฺโณ มีผิวพรรณอย่างนี้ คือ
ผิวขาว หรือผิวดำ.

บทว่า เอวมาหาโร - มีอาหารอย่างนี้ คือ มีข้าวสาลี เนื้อ
ข้าวสุก เป็นอาหาร หรือมีผลไม้สดเป็นอาหาร.
บทว่า เอวํสุขทุกฺขปฏิสํเวที - ได้เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนี้
คือ เสวยสุขและทุกข์ อันเป็นไปทางกาย ทางใจ หรือมีประเภท
เป็นต้นว่า มีอามิส หรือไม่มีอามิส.

บทว่า เอวมายุปริยนฺโต - มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้ คือ มี
กำหนดอายุ 100 ปี หรือ 8 โกฏิ 4 แสนกัป.
บทว่า โส ตโต จุโตฺ อมุตฺร อุทปาทึ - ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว
ได้มาเกิดในภพนี้ คือ เราครั้นจุติจากภพ กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ
สัตตาวาส หรือสัตตนิกายนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพ กำเนิด คติ
วิญญาณฐิติ สัตตาวา หรือสัตตนิกายโน้น.
บทว่า ตตฺราปาสึ - ได้มีแล้วในภพนั้น ได้มีแล้วอีกในภพ
กำเนิด คติ วิญญาณฐิติ สัตตาวาส หรือสัตตนิกาย แม้นั้น. บท
มีอาทิว่า เอวํนาโม มีนัยดังได้กล่าวแล้ว.
อีกอย่างหนึ่ง เพราะบทว่า อมุตฺราสึ นี้ เป็นการระลึกถึง
ของผู้ปรารถนาขึ้นไป ตามลำดับ.
บทว่า โส ตโต จุโต เป็นการพิจารณาของผู้กลับ. ฉะนั้น
บทว่า อิธูปปนฺโน พึงทราบว่า ท่านกล่าวบทนี้ว่า อมุตฺรอุทปาทึ
หมายถึงที่เกิดของภิกษุนั้น ในลำดับแห่งการเกิดในโลกนี้.
บทมีอาทิอย่านี้ว่า ตตฺราปาสึ ท่านกล่าวเพื่อแสดงการระลึก
ถึงชื่อและโคตรเป็นต้น ในที่เกิด ในลำดับแห่งการเกิดนี้ ในภพนั้น
ของภิกษุนั้น.
บทว่า โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว
มาเกิดในภพนี้ ความว่า เราครั้นจุติจากที่เกิดในลำดับนั้นแล้ว มาเกิด

ในตระกูลกษัตริย์ หรือในตระกูลพราหมณ์โน้น ในภพนี้.
บทว่า อิติ คือ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สาการํ สอุทเทสํ - พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุทเทส
คือ พร้อมทั้งอุทเทส ด้วยชื่อและโคตร. พร้อมทั้งอาการด้วยผิวเป็น
ต้น. เพราะท่านแสดงถึงสัตว์ โดยชื่อและโคตรว่า ติสสะ ผุสสะ
กัสสปโคตร. ปรากฏโดยความต่างด้วยผิวพรรณเป็นต้นว่า ขาว ดำ.
เพราะฉะนั้น ชื่อและโคตรเป็นอุทเทส. นอกนั้นเป็นอาการ ด้วยประการ
ฉะนี้.
จบ อรรถกถาบุพเพนิวารสานุสติญาณนิทเทส


ทิพจักขุญาณนิทเทส


[ 257] ปัญญาในความเห็นรูปเป็นนิมิตหลายอย่าง หรือ
อย่างเดียวด้วยสามารถแสงสว่าง เป็นทิพจักษุญาณอย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยสมาธิยิ่งด้วย
ฉันทะและสังขารอันเป็นประธาน ฯลฯ ครั้นแล้วย่อมมนสิการถึง
อาโลกสัญญา ตั้งสัญญาว่าเป็นกลางวัน มีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ
เจริญจิตให้มีแสงสว่างว่ากลางวันฉันใด กลางคืนฉันนั้น กลางคืนฉัน